วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 กับ 9 เรื่องราว 9 ภาพสุดประทับใจ

ขอขอบคุณเนื้อหาโดย : JS100.com(จส.100)



     5 ธันวาคมของทุกปี จะเป็นวันที่คนไทยทุกคนจดจำอยู่ในหัวใจ มิรู้ลืม นั่นคือ วันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และโอกาสนี้ทางทีมงาน จส.100 จึงได้รวบรวม 9 เรื่องราว 9 ภาพสุดประทับใจ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาแบ่งปันให้ทุกท่านได้รับชมพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระองค์ 

1.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับสมเด็จพระบรมราชชนนี



พระราชกตัญญุตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เป็นที่ประจักษ์ชัด ดังเช่น เมื่อครั้งสมเด็จพระบรมราชชนนีมีพระชนมายุ 93 พรรษาแล้ว แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจะมีพระราชกรณียกิจมากมาย แต่พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปวังสระปทุมในเวลาเย็น เพื่อไปเสวยพระกระยาหาร กับสมเด็จพระบรมราชชนนี สัปดาห์ละ 5 วัน ทำให้สมเด็จพระบรมราชชนีทรงชุ่มชื่นพระราชหฤทัยและมีความสุข อันแสดงถึงความรักความผูกพันของทั้งสองพระองค์อย่างแท้จริง

2.สายสัมพันธ์พี่-น้อง



ความผูกพันรักใคร่ปรากฎให้เห็นในครอบครัวราชสกุลมหิดลอย่างแจ่มชัด ตั้งแต่ทรงพระเยาว์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเล่นกับพระบรมเชษฐาธิราชและ สมเด็จพระเชษฐภคินีอย่างใกล้ชิด พระบรมฉายาลักษณ์นี้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงบันทึกไว้ในพระนิพนธ์ เจ้านายเล็กๆ - ยุวกษัตริย์ว่า “ที่โรงเรียนราชินีมีการสอนละครมาแต่ไหนแต่ไร สมเด็จย่าทรงเห็นว่าข้าพเจ้าชอบรำละครมาก จึงประทานเครื่องนาง แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบรำเป็นนาง จึงประทานเครื่องพระ...แต่วันหนึ่งนึกสนุกขึ้นมา แต่งกันทั้งสามคนและไปถวายสมเด็จย่าทอดพระเนตรแล้วก็ถ่ายรูป” 

3.ความรักในพระราชหฤทัย 



เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯ ไปทรงพบหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ครั้งแรก ที่ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หลังจากการพบกันครั้งนั้น พระองค์ทรงโทรศัพท์ถึง สมเด็จพระบรมราชชนนี เพื่อกราบทูลว่าได้เสด็จฯ ถึงปารีสแล้ว สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงถามถึงธิดาของหม่อมเจ้านักขัตรมงคลว่า "สวยน่ารักไหม" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงตอบทันทีว่า “เห็นแล้ว น่ารักมาก”

และครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อทรงฟื้นคืนพระสติครั้งแรกนั้น ก็ทรงระลึกถึงบุคคลเพียงสองพระองค์คือ สมเด็จพระบรมราชชนนี และ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งแสดงถึงความรักที่สถิตอยู่ในพระราชหฤทัยแล้ว 

4.สมเด็จพระบรมชนกนาถ



แม้พระราชภารกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชจะมีมากมายเพียงใด แต่ทรงทําหน้าที่ในฐานะ "พ่อ" อย่างครบถ้วน  ทรงอบรมอภิบาลพระราชโอรสธิดาให้เจริญวัยอย่างสมบูรณ์ ได้รับการศึกษา ตลอดจนเรียนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบและพร้อมที่จะทำงานเพื่อแผ่นดิน ตลอดเวลายาวนานที่ผ่านมาจึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระราชโอรสธิดาทุกพระองค์ทรงดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ทรงแบ่งเบาพระราชภาระของสมเด็จพระบรมชนกนาถสนองพระราชปณิธานในการทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง

5.บทเพลงพระราชนิพนธ์อันทรงคุณค่า



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมีพระปรีชาสามารถในด้านการดนตรีเป็นที่ยอมรับชื่นชมทั้ง ในหมู่คนไทยและชาวต่างประเทศ บทเพลงพระราชนิพนธ์ทั้ง 48 เพลง เป็นบทเพลงอันไพเราะและทรงคุณค่า มีความหมาย มีคติสอนใจ บทเพลงหนึ่งที่พระราชทานให้แก่ประชาชนและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วคือ บทเพลง “พรปีใหม่” บทเพลงนี้เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 14 พระราชทานในโอกาสส่งท้ายปี 2494 สู่ปีใหม่ 2495 ถึงวันนี้เป็นเวลาถึง 65 ปีแล้ว ที่พระราชทานเพลงนี้ไว้ เป็นเสมือนคำอวยพรจาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแก่ประชาชนชาวไทยทุกคน

6. "เรือใบ" กีฬาทรงโปรด



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดกีฬา “เรือใบ” ที่สำคัญด้วยพระปรีชาสามารถในงานช่าง ได้ทรงต่อเรือใบฝีพระหัตถ์ขึ้น หนึ่งในเรือใบฝีพระหัตถ์ คือ เรือใบประเภทเอ็นเตอร์ไพรส์ พร้อมพระราชทานชื่อว่า “ราชปะแตน” เมื่อทรงร่วมการแข่งขันกีฬาเรือใบในการแข่งกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 (กีฬาซีเกมส์ในปัจจุบัน) ทรงใช้เรือใบฝีพระหัตถ์ที่ทรงต่อเองประเภทโอเค มีนามว่า เวคา 2 ในการแข่งขัน ซึ่งทรงชนะเลิศเป็นที่ 1 ในการแข่งขันครั้งนั้น 

มีเหตุการณ์หนึ่งได้ถูกบันทึกไว้โดย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำ ว่า “ครั้งหนึ่งเสด็จฯ ออกจากฝั่งไปได้ไม่นาน ก็ทรงแล่นเรือใบเข้าฝั่ง ตรัสกับผู้ที่คอยมาเฝ้าฯ อยู่ด้วยความฉงนว่า เสด็จฯ กลับเข้าฝั่งเพราะเรือใบพระที่นั่งแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่งในกติกาการแข่งเรือใบถือว่าฟาวล์ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเห็น" เหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า นอกจากพระปรีชาสามารถในด้านกีฬาแล้ว พระองค์ยังทรงปฏิบัติตามกฎกติกาอย่างเคร่งครัดอันแสดงให้เห็นความเป็นนักกีฬาอย่างแท้จริง 


7.คุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระเมตตาต่อสุนัขดังเช่นคุณทองแดงอย่างมาก เดิมที คุณทองแดงเป็นสุนัขเกิดบริเวณหมู่บ้านข้างคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาย่านพระราม 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตารับมาเลี้ยงเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปเปิด ศูนย์แพทย์พัฒนา คุณทองแดงจึงได้เข้ามาอยู่ในสวนจิตรลดา ทรงค้นจากหนังสือพบว่าคุณทองแดง มีลักษณะคล้ายสุนัขพันธุ์บาเซนจิ ซึ่งเป็นสุนัขพันธุ์โบราณที่มีถิ่นกำเนิด ทางแอฟริกาใต้ แต่คุณทองแดงเป็นสุนัขพันธุ์โตหน่อย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทาน ชื่อพันธุ์ให้จากที่เคยมีการรับสั่งเล่นๆ ว่าเป็นพันธุ์ธาวซันด์เวย์ (Thousand ways) แปลตรงๆ ว่า พันธุ์ทางบ้าง พันธุ์มิดเดิ้ลโรด (Middle Road) พันธุ์กลางถนนบ้าง ก็กลายเป็นสุนัขไทยพันธุ์ซุปเปอร์บาเซนจิ คุณทองแดงเป็นสุนัขที่ฉลาด และเป็นสุนัขทรงเลี้ยงที่แสดงออกถึงความจงรักภักดีอย่างชัดเจน 

8.น้ำฝนในถัง



เรื่องราวนี้เกิดขึ้นขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร โบราณสถานในเมืองศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ทรงพบยายเล็ก เปล่งเสียง วัย 90 ปี เป็นชาวบ้าน ต.สารจิต อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ซึ่งยายเล็กได้นำน้ำฝนลอยดอกมะลิมาตั้งไว้หลายถัง เผื่อข้าราชบริพารและผู้ตามเสด็จจะกระหายน้ำจะได้ดื่มกัน แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่า พระองค์มีรับสั่งกับยายเล็กว่า " ฉันขอดื่มน้ำในถังสักแก้วได้ไหม" ยายเล็กก็กราบบังคมทูลตอบว่า “ฉันไม่กล้าให้ในหลวงกินหรอก เพราะมันเป็นน้ำฝนและเป็นนํ้าธรรมดาด้วย”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระสรวล มีรับสั่งกับยายเล็กว่า “ปกติฉันก็กินน้ำธรรมดาอย่างนี้นี่แหละ” จากนั้นพระองค์ทรงตักนํ้าฝนในถังเสวย และมีรับสั่งต่อว่า “นํ้าฝนเย็นสดชื่นดี และยังหอมกลิ่นดอกมะลิอีกด้วย”


9.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับชาวไทยภูเขา



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงช่วยเหลือชาวไทยภูเขามาตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาล เหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้เกิดขึ้น เมื่อกำนันผู้ที่อยู่ในภาพ (ผู้ชายคนที่นั่งซ้ายสุด) ไม่ทราบว่าผู้ที่นั่งร่วมวงในขณะนั้นคือในหลวง รัชกาลที่ 9 คิดว่าเป็น อส.หรือตำรวจ ทหาร มาเยี่ยมเยียนราษฎร จึงนั่งชันเข่ารินเหล้าชนแก้ว พร้อมกับแกล้มกับในหลวงโดยไม่รู้ตัว แต่ในหลวงท่านก็ทรงเป็นกันเอง ไม่ถือโทษโกรธแต่อย่างใด ซึ่งหลังจากกำนันท่านนั้นได้มาทราบความจริงในภายหลังก็ถึงกับเป็นลมล้มพับเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าวันนี้ชาวไทยทุกคนจะไม่ได้เห็นพระราชจริยวัตรอันงดงามของพระองค์อีกแล้ว แต่เชื่อว่าพระราชกรณียกิจและพระราชจริยวัตรของพระองค์ทุกขณะ จะตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทยไปตราบนานเท่านาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น